สมรสเท่าเทียมไม่ใช่ ‘ยาวิเศษ’ | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

ณชเล ยอมรับว่าการผ่านกฎหมายพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) แก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ (ฉบับที่ ๒๔) พ.ศ. ๒๕๖๗ หรือกฎหมายสมรสเท่าเทียม ซึ่งมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ ๒๓ ม.ค. ๒๕๖๘ ที่ผ่านมานั้น เป็น ‘เหมือนฝันที่เป็นจริง’ เธอกล่าวด้วยน้ำเสียงแห่งความปลาบปลื้มว่า สิ่งเหล่านี้ได้เกิดขึ้นจริงๆ แล้วในประเทศของเรา ความฝันแรกของพวกเราได้กลายเป็นจริงแล้ว ทว่า การเคลื่อนไหวเพื่อความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศ และคนข้ามเพศยังไม่สิ้นสุดลง

          “จะต้องบอกว่า สมรสเท่าเทียมไม่ใช่ยาวิเศษ อาจจะไม่ได้ทำให้สังคมเปลี่ยนได้ภายในวันเดียว แต่การที่เรามีจุดเริ่มต้นจากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม มันได้ให้พื้นที่แก่ผู้คนได้พูดถึงสิทธิของคนที่มีความหลากหลายทางเพศมากขึ้น ณ ปัจจุบันนี้ รวมถึงในอนาคต เราจะไม่พูดถึงเพียงแค่ความเท่าเทียมทางเพศระหว่างหญิงและชายเท่านั้น แต่จะรวมไปถึงความเท่าเทียมของผู้มีความหลากหลายทางเพศด้วย” ณชเล กล่าว

เธอกล่าวต่อไปอีกว่า มีราว ๒–๓ ประเด็นที่เห็นว่าควรจะต้องมีการผลักดันต่อไป คือ การใช้คำศัพท์ที่ถูกต้องกับผู้มีความหลากหลายทางเพศ ทั้งในวงการวิชาการและการศึกษา รวมถึงการใช้ภาษาทางกฎหมาย หรือเรื่องสิทธิในการเข้าถึงเทคโนโลยีอนามัยเจริญพันธุ์ การตั้งครรภ์ด้วยวิธีการอุ้มบุญ ซึ่งเมื่อก่อนเป็นข้อจำกัดจากกฎหมาย ที่ทำให้คู่รักเพศเดียวกันไม่สามารถมีบุตรได้ ซึ่งผลจากการผ่านกฎหมายสมรสเท่าเทียม จะเป็นส่วนสำคัญในการเปิดโอกาสให้ผู้มีความหลากหลายทางเพศสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีการอุ้มบุญเพื่อการมีบุตรได้

ประการต่อมา คือ กฎหมายสมรสเท่าเทียมฉบับนี้ ยังไม่ได้รองรับคนที่มีอัตลักษณ์ทางเพศสภาพที่ต่างจากเพศกำเนิด ณชเล ยกตัวอย่างว่า หากวันหนึ่งผู้หญิงข้ามเพศจะแต่งงานและจดทะเบียนสมรส โดยในทางนิตินัย เธอคือสามี ไม่ใช่ภรรยา รายละเอียดเหล่านี้ยังไม่ได้รับการแก้ไข ซึ่งเป็นเรื่องที่จะต้องมีทำงานกันต่อไป เพื่อขับเคลื่อนกฎหมายให้มีการรับรองเพศสภาพ

 

1

 

 

--- ผลักดันสิทธิทางสุขภาพด้วยกลไกสานพลัง ---

          สิ่งที่สำคัญที่สุด และอยู่ในขอบข่ายที่ณชเลได้ผลักดันมาโดยตลอด คือ สิทธิทางสุขภาพเพื่อคนข้ามเพศ ซึ่งแน่นอนว่าข้อเรียกร้องเหล่านี้ไม่อาจสำเร็จได้เพียงแค่การเคลื่อนไหวในภาคประชาชนเท่านั้น ทว่าจะต้องทำงานร่วมกับภาคส่วนอื่นๆ ทั้งหน่วยงานภาครัฐ ภาคเอกชน รวมถึงการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสารไปยังสาธารณะผ่านสื่อช่องทางต่างๆ เพื่อนำข้อเรียกร้องและความต้องการของคนข้ามเพศไปขับเคลื่อนให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเชิงนโยบาย ทั้งนี้ ณชเล ในฐานะผู้รับผิดชอบโครงการข้ามเพศมีสุข จึงต้องทำงานสานพลังร่วมกับองค์กรที่เกี่ยวข้องกับระบบสุขภาพต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นกระทรวงสาธารณสุข (สธ.) สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) หรือสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ฯลฯ

ณชเล เล่าต่อไปอีกว่า ถือเป็นความโชคดีของเธอ ที่ได้มีโอกาสเข้ามาทำงานร่วมกับสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ผ่านสำนักนโยบายสาธารณะเขตเมือง (สช..) ที่มี เตชิต ชาวบางพรหม เป็นผู้อำนวยการ ซึ่งที่ผ่านมา โครงการข้ามเพศมีสุขได้จัดกิจกรรมและการประชุมร่วมกับ สช. ในหลายๆ วาระ ได้นำมาซึ่งข้อสรุปร่วมกัน ๓ ประเด็น เพื่อการทำงานขับเคลื่อนสุขภาวะของคนข้ามเพศในประเทศไทย คือ ๑. การผลักดันบริการสุขภาพของคนข้ามเพศให้กลายเป็นชุดสิทธิประโยชน์ ๒. บุคลากรทางการแพทย์ หรือผู้ให้บริการจำเป็นจะต้องมีองค์ความรู้และมีทัศนคติที่โอบรับคนข้ามเพศ เพื่อนำไปสู่มาตรฐานการให้บริการที่ถูกต้อง ๓. การเพิ่มจุดบริการให้มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น

เธอยังให้ความเห็นต่อว่า หนึ่งในงานที่ได้ขับเคลื่อนร่วมกับ สช. และเชื่อมั่นว่าจะนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงทางนโยบายในระยะยาวได้ คือ การจัดสมัชชาสุขภาพโดยการประชุมเครือข่ายส่งเสริมสุขภาวะคนข้ามเพศภาคใต้ ครั้งที่ ๒ (Southern Pride Health Assembly) เมื่อวันที่ ๓๑ ต.ค. ๒๕๖๗ ณ มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ จ.สงขลา (มอ.หาดใหญ่) โดยเป็นการจัดประชุมร่วมกับคลินิกทรานส์เจนเดอร์ โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (PSU Pride Clinic) ซึ่งเป็นคลินิกที่ให้บริการสุขภาพแก่กลุ่มคนข้ามเพศในทุกมิติ รวมไปถึงภาคีเครือข่ายจากภาคประชาสังคมต่างๆ ที่อยู่ในพื้นที่ และได้นำข้อเสนอจากผู้เข้าร่วมประชุมในวันนั้นมาจัดทำเป็น Policy Canvas เพื่อนำไปสู่การผลักดันให้เกิดเป็นนโยบายสาธารณะต่อไป

 

เรากำลังสร้างโมเดลในการทำงานร่วมกันระหว่าง สช. และหน่วยงานภาครัฐอื่นๆ รวมไปถึงภาคประชาสังคม จะได้มีพื้นที่ตรงกลางในการแลกเปลี่ยน และได้ข้อเสนอแนะจากพื้นที่ เพื่อให้พื้นที่ได้นำไปใช้ประโยชน์ในการขับเคลื่อนในประเด็นที่ตัวเองทำงานอยู่ ซึ่งตอนนี้เราทำได้ที่ภาคใต้แล้ว เราเชื่อว่าถ้ามันสำเร็จจริงๆ โมเดลแบบนี้ควรจะต้องถูกยกระดับ แล้วนำไปใช้ในทุกๆ ภาค หรือไปสู่ระดับประเทศเลย ซึ่ง สช. มีกลไก หรือเครื่องมือเหล่านี้อยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นสมัชชาสุขภาพ หรือ ธรรมนูญสุขภาพ ที่จะขับเคลื่อนร่วมกับภาคีเครือข่ายคนข้ามเพศ ณชเล กล่าว

 

ณชเล กล่าวอีกว่า ในวันที่ ๓๑ มี.. – เม.. ๒๕๖๘ ที่จะถึงนี้ จะมีการจัดงาน ประชุมระดับชาติ: สุขภาวะของคนข้ามเพศ (ข้ามเพศมีสุข) ครั้งที่ ๒ ณ โรงแรมมิราเคิล แกรนด์ คอนเวนชั่น กรุงเทพฯ ซึ่งเป็นงานที่ร่วมกับภาคีเครือข่ายทั้งหมด ๒๙ องค์กรทั่วประเทศ เพื่อมาพูดคุย แลกเปลี่ยน ถึงสถานการณ์ของพี่น้องคนข้ามเพศในประเทศไทย สช. โดยสำนักนโยบายสาธารณะเขตเมือง จะได้ร่วมจัดกระบวนการในงานประชุมฯ ในหัวข้อ ร่วมออกแบบนโยบาย “ข้ามเพศ” บนดาวอังคาร เพื่อนำเสนอ Policy Canvas ที่ได้จากเวที Southern Pride Health Assembly เพื่อความครอบคลุมและแหลมคมของข้อเสนอเชิงนโยบาย ที่โอบรับเสียงทุกเสียงของคนข้ามเพศและผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งเดินทางมาเข้าร่วมงานจากทั่วทุกสารทิศ

จากที่เราเคยทำกระบวนการสมัชชาฯ ที่ภาคใต้ จนได้ผลผลิตออกมาเป็น Policy Canvas จึงเห็นร่วมกันกับทาง สช. ว่าเราน่าจะมาจัดกระบวนการเดิมกันอีกครั้งในห้องประชุมย่อยภายในงาน เพื่อจะได้ข้อมูลเพิ่ม เพราะที่ผ่านมาเราทำแค่ภาคใต้ แต่งานประชุมนี้จะมีคนมาจากหลายที่ เครือข่ายจากทั่วทั้งประเทศ ก็จะได้เข้ามาร่วมกันเสนอแง่มุมให้ Policy Canvas มีความครอบคลุมมากยิ่งขึ้น ณชเล กล่าวทิ้งท้าย