- 47 views
ภาคีอาสา “ภสพ.” จากการรวมตัวของ 7 หน่วยงานยุทธศาสตร์ พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนแผนบูรณาการสนับสนุนจังหวัดเข้มแข็ง-จัดการตนเอง พัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น หลังวางโครงสร้างการทำงาน-คณะกรรมการ-ผู้ทำงาน-เครือข่ายพื้นที่ มีความชัดเจน พร้อมเตรียมประกาศ Kick Off นำร่องพื้นที่ 5 จังหวัด เชียงราย-ขอนแก่น-นครสวรรค์-ตราด-พัทลุง ระดมกำลังจากเวทีส่วนกลาง 3-4 มี.ค.นี้
เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) พร้อมด้วยหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ร่วมกันจัด ประชุมหารือนโยบายและยุทธศาสตร์ของประเทศ ด้านการพัฒนาระบบสุขภาพท้องถิ่น ร่วมกับหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ครั้งที่ 4 เพื่อร่วมกันหารือถึงแผนปฏิบัติการสนับสนุนจังหวัดเข้มแข็ง ประจำปีงบประมาณ 2568 จำนวน 5 จังหวัด ได้แก่ เชียงราย ขอนแก่น นครสวรรค์ ตราด และ พัทลุง พร้อมพิจารณาถึงแนวทางการสนับสนุนการพัฒนาและขับเคลื่อนภายใต้จังหวัดสุขภาวะ เข้มแข็งจากฐานบูรณาการทุกภาคส่วน โดยมีผู้เข้าร่วมประชุมทั้งทางระบบ online และ on-site
ศ.ดร.บรรเจิด สิงคะเนติ คณะนิติศาสตร์ สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และประธานคณะกรรมการภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (ภสพ.) เปิดเผยว่า การประชุมหารือร่วมกันในครั้งนี้ มี สสส. เป็นหน่วยงานเจ้าภาพ ที่จะสลับสับเปลี่ยนหมุนเวียนทุกเดือน ให้ครบทั้ง 7 หน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ที่รวมตัวกันภายใต้ชื่อภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง (ภสพ.) หรือ Area Strengthening Alliance (ASA) หรือที่เรียกว่าภาคีอาสา เพื่อร่วมกันขับเคลื่อนแผนปฏิบัติการในการสนับสนุนให้แต่ละจังหวัดบูรณาการจัดการตนเอง อันนำไปสู่การที่ประชาชนมีคุณภาพชีวิตที่ดีขึ้น
ทั้งนี้ หน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ทั้ง 7 หน่วยงาน ประกอบด้วย สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ พอช. สำนักงานหลักประกันสุขภาพแห่งชาติ (สปสช.) สำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) และ หน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท.)
ศ.ดร.บรรเจิด กล่าวว่า ในส่วนของความคืบหน้าขณะนี้ ได้มีการแต่งตั้งและกำหนดบทบาทหน้าที่ของคณะกรรมการ และคณะทำงานต่างๆ ที่เป็นรูปธรรมชัดเจน ได้แก่ คณะกรรมการ ภสพ. ซึ่งจะมีคณะที่ปรึกษาและกรรมการ ที่มาจากผู้บริหาร ผู้ทรงคุณวุฒิจากหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ คอยทำหน้าที่ในการกำหนดทิศทาง และสนับสนุนส่งเสริมการดำเนินงานในภาพรวมจากพื้นที่ส่วนกลาง
ขณะเดียวกันยังมีคณะผู้ทำงานภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง ซึ่งมี นพ.ปรีดา แต้อารักษ์ เป็นหัวหน้าคณะผู้ทำงาน ทำหน้าที่เป็นฝ่ายประสานการทำงานระหว่างคณะกรรมการฯ และภาคีเครือข่าย ในขณะที่ส่วนสุดท้ายคือ เครือข่ายอาสาภาคีสานพลังพื้นที่เข้มแข็ง ซึ่งเป็นเครือข่ายการทำงานของทุกหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ทั้ง 5 พื้นที่จังหวัดนำร่อง โดยขณะนี้มีทั้งหมด 51 รายชื่อ
ศ.ดร.บรรเจิด กล่าวอีกว่า นอกจากนี้ในวันที่ 3-4 มี.ค. ที่จะถึงนี้ จะมีการจัดประชุมเครือข่ายจังหวัดอาสา ทั้ง 5 จังหวัดนำร่อง ณ โรงแรมอมารี ดอนเมือง แอร์พอร์ต กรุงเทพมหานคร (กทม.) โดยจะมีการจัดกิจกรรมเชิงกระบวนการ ซึ่งมี อาจารย์ชัยวัฒน์ ถิระพันธุ์ เป็นวิทยากรนำกระบวนการ เพื่อทำให้ผู้ปฏิบัติงานในระดับพื้นที่ของทั้ง 7 หน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ได้มาแลกเปลี่ยนเรียนรู้ ทำความเข้าใจซึ่งกันและกัน รวมไปถึงจะมีการประกาศ Kick Off อย่างเป็นทางการ โดยผู้บริหารจากทุกหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์
“ตามแผนปฏิบัติการเดิม ในเดือน มี.ค. นี้ คณะผู้บริหารหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์มีกำหนดการลงไปยังพื้นที่ 5 จังหวัดนำร่อง เพื่อสร้างความเข้าใจกับเครือข่ายระดับจังหวัด แต่มีการปรับเปลี่ยนแผน เพราะเห็นร่วมกันว่าเครือข่ายการทำงานในทุกระดับและทุกพื้นที่ควรได้มาเจอกันก่อน ดังนั้นเวทีในวันที่ 3 – 4 มี.ค.นี้ จะเป็นการส่งสัญญาณจากส่วนกลางทั้ง 7 หน่วยงานว่า ผู้ปฏิบัติงานหรือเครือข่ายในระดับพื้นที่ จะต้องเปลี่ยนวิธีคิดให้หันมาบูรณาการการทำงานร่วมกัน เช่นเดียวกับส่วนกลาง เพราะถ้าเราทำแบบเดิมมันจะเจอทางตัน และไปไม่รอด จึงต้องมาเจอกัน ทำกิจกรรมกระบวนการร่วมกัน เพื่อปรับเปลี่ยนวิธีคิด และแลกเปลี่ยนเรียนรู้ซึ่งกันและกัน” ศ.ดร.บรรเจิด กล่าว
นพ.พงศ์เทพ วงศ์วัชรไพบูลย์ ผู้จัดการกองทุน สสส. กล่าวว่า ในส่วนของ สสส. มีความมุ่งหวังที่จะเห็นภาพการรวมพลังจากหน่วยงานต่างๆ ในการสร้างเสริมสุขภาพเพื่อป้องกันการเสียชีวิต ความพิการ และการเจ็บป่วยก่อนวัยอันควร เพื่อให้คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยที่ยืนยาว ซึ่ง สสส. ได้มียุทธศาสตร์และนโยบายในการขับเคลื่อนให้สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงและพัฒนาโดยอยู่บนฐานข้อมูลเชิงประจักษ์
นพ.พงศ์เทพ กล่าวว่า ทีมนักวิชาการซึ่งทำงานร่วมกับ สสส. มีความสามารถที่จะวิเคราะห์ข้อมูลให้เห็นได้ว่าประชากรในจังหวัดนั้นๆ มีอายุค่าเฉลี่ยอยู่ที่เท่าไร และจังหวัดที่มีประชากรอายุค่าเฉลี่ยต่ำนั้น มีสาเหตุมาจากโรคหรือความพิการอะไร มากไปกว่านั้นยังสามารถรวบรวมและวิเคราะห์ข้อมูลผู้เสียชีวิตจากโรคภัยต่างๆ ว่ามีอัตราสูงสุดอยู่ที่อำเภอไหนและตำบลใด โดยเมื่อทำการวิเคราะห์แล้วก็จะคืนข้อมูลนั้นให้กับผู้ที่เกี่ยวข้องในระดับจังหวัด ไม่ว่าจะเป็นองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) ทุกระดับ เพื่อนำข้อมูลเหล่านี้ไปขับเคลื่อนการสร้างเสริมสุขภาพให้กับชุมชน ผ่านกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.)
“แผนปฏิบัติการนี้จะเป็นการส่งเสริมให้ท้องถิ่นและชุมชน เป็นเจ้าของปัญหาสุขภาพ จากการมีข้อมูลสุขภาพเป็นของตนเอง โดย สสส. จะทำงานร่วมกันกับหน่วยงานภาคียุทธศาสตร์ ทั้ง 7 หน่วยงาน ผ่านพื้นที่นำร่องทั้ง 5 จังหวัด ซึ่งจะเป็นตัวอย่างในการสานพลังร่วมกันกับภาคีในพื้นที่ เพื่อให้คนไทยมีอายุคาดเฉลี่ยที่ยืนยาว และไม่พิการก่อนวัยอันควร” นพ.พงศ์เทพ กล่าว
ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ฐานข้อมูลจาก สสส. ที่ฉายภาพออกมาให้เห็นนั้น ถือเป็นเรื่องที่อยู่ใกล้ตัวประชาชน ซึ่งต่อไปทางทีมผู้ทำงานอาจจะได้ลองออกแบบข้อมูลรายจังหวัด ทั้ง 5 จังหวัดนำร่อง เพื่อนำเสนอไปยังผู้มีส่วนในการขับเคลื่อนนโยบายของจังหวัด ก่อนที่จะขยายไปสู่พื้นที่อื่นๆ ทั่วทั้งประเทศ
“ในส่วนของ สช. เรายังได้ดำเนินการรวบรวมข้อมูลนโยบายของผู้ลงสมัครรับเลือกตั้งนายกองค์การบริหารส่วนจังหวัด (อบจ.) ของแต่ละจังหวัดในช่วงที่ผ่านมาเอาไว้ ซึ่งได้นำมาวิเคราะห์ทั้งในภาพรวม และแยกรายจังหวัด สิ่งเหล่านี้จะทำให้เราพอมองเห็นภาพรวมของช่องว่างและความต้องการในจังหวัดนั้นๆ” นพ.สุเทพ กล่าว
นพ.สุเทพ กล่าวว่า นอกจากนี้ สช. ยังได้รวบรวมข้อมูลทุนทางสังคมร่วมกับ พอช. สปสช. และ สสส. ว่าในแต่ละพื้นที่มีองค์กรอะไรบ้าง รวมถึงมีโครงการอะไรที่ได้ขับเคลื่อนไปแล้วบ้าง เพราะฉะนั้นหากเราสามารถนำข้อมูลทั้งหมดนี้มารวบรวมและวิเคราะห์ไว้ด้วยกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมสถานการณ์ จะทำให้การเข้าไปทำงานร่วมกับจังหวัด นอกจากจะมีงบประมาณ มีเครือข่ายแล้ว ก็จะยังมีข้อมูลทางวิชาการเหล่านี้ไว้คอยสนับสนุนด้วย