‘พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ’ คืบหน้า กมธ.เร่งพิจารณาถี่ยิบทุกสัปดาห์ ชงตั้งกลไกหารือ จว. ‘ต้นลม-ปลายลม’ | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก
pm2.5


สช. ผนึกภาคีเครือข่ายเปิดเวที Policy Dialogue ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 ระดมทุกภาคส่วนร่วมหารือแนวทางแก้ไข-จัดการปัญหาฝุ่นควัน PM2.5 โฆษก กมธ.ฯ เผยความคืบหน้าพิจารณา “ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ” เร่งประชุมทุกสัปดาห์ หวังกฎหมายออกเร็วบนความมั่นใจถึงคุณภาพ ช่วยแก้ไขไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง ด้านประธานสภาลมหายใจ กทม. เสนอตั้งคณะกรรมการร่วม “จังหวัดต้นลม-ปลายลม” หาทางรับมือก่อนเข้าฤดูฝุ่น

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ไทยพีบีเอส และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีสนทนานโยบายสาธารณะ Policy Dialogue ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 เพื่อร่วมพูดคุยถึงวิธีการและกลไกจัดการรับมือกับฝุ่นละออง PM2.5 และหมอกควันไฟป่า รวมทั้งกฎหมายอากาศสะอาดที่อยู่ในขั้นตอนการพิจารณาของสภา ซึ่งจะเป็นความหวังในการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างการจัดการปัญหาฝุ่นพิษที่ต้นทาง
 

วิษณุ อรรถวานิช


รศ.ดร.วิษณุ อรรถวานิช อาจารย์คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ และโฆษกคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ เปิดเผยว่า ความคืบหน้าปัจจุบันของร่าง พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ อยู่ระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ซึ่งมีการทำงานอย่างหนักและประชุมกันทุกสัปดาห์เพื่อพยายามเร่งให้ได้กฎหมายฉบับนี้ออกมาโดยเร็วที่สุด หากแต่ความเร็วนี้ก็ต้องทำให้มั่นใจถึงคุณภาพของตัวกฎหมาย โดยเฉพาะสิ่งสำคัญคือการพุ่งประเด็นไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้างที่อยู่ภายใต้ภูเขาน้ำแข็ง

“ต้องยอมรับว่าสิ่งที่ไม่ค่อยถูกพูดถึงคือปัญหาเชิงโครงสร้าง แม้ปัญหาฝุ่นจะเวียนมาทุกปี แต่เราก็ยังพยายามแก้ไขแบบพายเรือวนในอ่าง ดังนั้นกฎหมายฉบับนี้จึงต้องพุ่งไปถึงปัญหาเชิงโครงสร้าง โดยสิ่งสำคัญอย่างแรกที่ต้องเสริมเข้าไปคือสิทธิของประชาชน ทั้งสิทธิที่จะต้องได้รับข้อมูล สิทธิที่จะหายใจในอากาศสะอาด ไปจนถึงสิทธิในการฟ้องร้องเจ้าหน้าที่หากไม่ปฏิบัติ สิ่งสำคัญต่อมาคือเครื่องมือทางเศรษฐศาสตร์ ที่ผ่านมากฎหมายไทยมักเน้นไปที่การห้าม บังคับ ให้ปฏิบัติตาม ซึ่งหากถอดบทเรียนต่างประเทศที่เคยใช้มาตรการบังคับมาก่อน พบว่าส่วนใหญ่ไม่ได้ผลเพราะขาดแรงจูงใจ จึงจำเป็นที่เราจะต้องสร้างแรงจูงใจ เพิ่มทางเลือกให้ผู้ก่อมลพิษ” รศ.ดร.วิษณุ กล่าว

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวว่า นอกจากนี้ยังมีประเด็นในแง่ของหน่วยงาน ซึ่งประเทศไทยยังไม่มีหน่วยงานที่จะมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควัน แม้อยากทำแต่ทำไม่ได้ กฎหมายนี้จึงต้องมีการก่อตั้งหน่วยงานที่จะเข้ามาดูแลหน้างานนี้เพื่อแก้ไขปัญหาแบบเบ็ดเสร็จ ส่วนอีกประเด็นสำคัญคือเรื่องงบประมาณ โดยที่ผ่านมาประเทศไทยใช้งบประมาณในการจัดการแก้ไขปัญหาด้านสิ่งแวดล้อม คิดเป็นสัดส่วนเพียง 0.26% จากงบประมาณ 3.7 ล้านล้านบาท และหากดูเฉพาะงบที่เกี่ยวข้องกับแผนมลพิษทางอากาศหรือฝุ่น มีเพียง 800 ล้านบาทเท่านั้น ซึ่งนอกจากจะน้อยแล้วยังขาดความต่อเนื่องอีกด้วย จึงจำเป็นที่จะต้องมีกองทุนฯ ขึ้นมาเป็นกลไกให้ใช้แก้ไขปัญหาได้อย่างต่อเนื่อง ทันการ และเพียงพอ

รศ.ดร.วิษณุ กล่าวอีกว่า สิ่งที่อยากให้มีการคำนึงถึง 3 ประการ คือ 1. ความตระหนักรู้ของประชาชน การป้องกันตัวเองในวันที่ค่าฝุ่นสูง 2. ปัญหาปากท้อง การสร้างทางเลือกให้กับผู้ก่อมลพิษ ทำอย่างไรที่จะหาทางให้เขาสามารถปรับตัวแล้วได้ดีกว่าเดิม เช่น การยกระดับเพิ่มมูลค่าเศษวัสดุทางการเกษตร หรือในเชิงเศรษฐศาสตร์ การมีค่าตอบแทน ค่าเสียโอกาส ให้กับคนที่มีส่วนช่วยในการดับไฟ ช่วยตรวจตราพื้นที่ 3. ทบทวนการบังคับใช้กฎหมายเดิมที่มีอยู่ ว่าถูกดำเนินการอย่างมีประสิทธิผลภายใต้กรอบอำนาจหน้าที่ของแต่ละหน่วยงานแล้วหรือยัง เช่น ไปตรวจรถบรรทุกช่วงกลางวัน ขณะที่รถบรรทุกมักวิ่งช่วงกลางคืน เป็นต้น

นายวีระศักดิ์ โควสุรัตน์ ประธานสภาลมหายใจกรุงเทพมหานคร (กทม.) และอดีตประธานคณะทำงานพิจารณาศึกษาร่างพระราชบัญญัติบริหารจัดการเพื่ออากาศสะอาด วุฒิสภา กล่าวว่า กลไกการทำงานของสภาลมหายใจ เป็นหนึ่งตัวอย่างของการขับเคลื่อนงานภาคพลเมือง กลุ่มประชาชนและประชาสังคมที่ตื่นรู้ รู้สึกว่าตนเองไม่อยากเป็นเหยื่อ แต่อยากทำความรู้จักกับปัญหา ศึกษาข้อมูล สถิติ แปลงข้อมูลทางวิชาการออกมาเป็นความรู้ แล้วนำไปสื่อสารสังคมแบบที่เข้าใจง่าย เพื่อนำไปสื่อสาร รณรงค์ ทั้งกับตัวผู้ก่อมลพิษ รวมไปถึงผู้รับผลกระทบ ว่าจะต้องรับมือหรือป้องกันอย่างไร
 

วีระศักดิ์ โควสุรัตน์


“ในกลไกการเป็นคนกลาง สภาลมหายใจมองว่าเราควรจะมี มิสเตอร์ฝุ่น ในเขตเมืองต่างๆ เพราะกระแสลมที่เปลี่ยนทิศ หรือป่าแห้งนั้นเกิดตามช่วงเวลา จุดไหนเกิดไฟแล้วดับช้าดับเร็ว หากอ่านทิศทางลมเป็น เข้าใจเชื้อเพลิง ก็จะรู้ว่าฝุ่นมาจากไหน เราก็จะสามารถไปคุยกับพื้นที่ต้นลมได้ อย่างพื้นที่ กทม. ในช่วง 4 เดือน ม.ค. - เม.ย.นี้ จะมีลมเปลี่ยนทิศอย่างน้อย 3 หน เราอยากคุยกับรัฐบาลให้ตั้งคณะกรรมการ ให้จังหวัดปลายลม เช่น กทม. ปริมณฑล ได้รวมตัวคุยกับจังหวัดต้นลม ว่าเราจะระดมสรรพกำลังอย่างไร ช่วยเหลืออะไรกันได้บ้าง เพื่อที่จะไม่อยากรับฝุ่นควันจากลมในช่วงดังกล่าว” นายวีระศักดิ์ กล่าว

นายวีระศักดิ์ กล่าวว่า อีกประเด็นในเรื่องของการเผาเศษวัสดุทางการเกษตรที่เกิดขึ้นทั่วประเทศ ตามมาตรา 8(8) ของ พ.ร.บ.ภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง พ.ศ. 2562 ทาง รมว.คลัง สามารถอนุญาตให้ที่ดินรกร้างมาเปิดเป็นพื้นที่เก็บฟางหรือวัสดุทางการเกษตร แล้วยกเว้นภาษีได้ เพียงบอกว่าเป็นการให้บริการทางระบบนิเวศหรือสิ่งแวดล้อม ที่ให้ราชการใช้เป็นสาธารณประโยชน์ โดยที่ไม่ต้องไปปลูกกล้วย ปลูกมะนาว ซึ่งแปลว่าฟางเกือบ 30 ล้านตันที่เสี่ยงจะถูกเผาในทุกปีก็จะมีที่อยู่ แล้วสามารถนำไปสร้างมูลค่าเพิ่มได้ ซึ่งเป็นอีกมิติตัวอย่างของการใช้กฎหมายที่มีอยู่แล้ว นำมาช่วยแก้ไขปัญหาฝุ่นได้โดยไม่ต้องรอ พ.ร.บ.อากาศสะอาด เพียงอย่างเดียว

ด้าน ดร.นาตยา พรหมทอง หัวหน้ากลุ่มงานพัฒนาและขับเคลื่อนผลกระทบด้านสุขภาพ สช. กล่าวว่า เราทุกคนล้วนมีส่วนทำให้เกิดฝุ่นควันได้ไม่มากก็น้อย ฉะนั้นในมุมมองของการจัดการปัญหาเรื่องฝุ่น จำเป็นต้องแก้ไขปัญหาในหลายระดับ โดยเฉพาะกลไกในระดับพื้นที่ ชุมชน ซึ่ง สช. มีเครื่องมือหลากหลายที่ให้ความสำคัญกับกระบวนการมีส่วนร่วม เพื่อให้ชุมชนหรือภาคประชาชนได้เข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหา ตัวอย่างเช่น การประเมินผลกระทบด้านสุขภาพ (HIA) หรือ การประเมินผลกระทบทางสุขภาพระดับชุมชน (CHIA) ที่ใช้กลไกวิชาการเข้าไปสนับสนุนข้อมูลให้ประชาชนได้ร่วมเรียนรู้ และร่วมกันนำไปใช้ในการพัฒนาข้อเสนอได้
 

นาตยา พรหมทอง


ดร.นาตยา กล่าวว่า ส่วนการเชื่อมโยงไปถึงกลไกทางนโยบาย เมื่อชุมชนมีข้อเสนอแล้วก็สามารถพัฒนาไปเป็นธรรมนูญสุขภาพระดับพื้นที่ ซึ่งเป็นกฎกติกาของแต่ละพื้นที่ที่ร่วมกันกำหนดและร่วมกันปฏิบัติ อย่างในพื้นที่ กทม. เองก็มีธรรมนูญสุขภาพในหลายเขต และมีการใช้เงินจากกองทุนหลักประกันสุขภาพท้องถิ่น (กปท.) ที่มีอยู่แล้วไปสนับสนุนเป็นกลไกในการช่วยขับเคลื่อน ส่วนถ้าหากเป็นข้อเสนอเชิงนโยบายถึงรัฐบาล ก็มีกลไกที่สามารถนำเข้าสู่สมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ที่สามารถนำเสนอมติไปถึงคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อให้เกิดการขับเคลื่อนในภาพใหญ่ เป็นกลไกที่ให้ประชาชนเข้ามามีส่วนร่วมในการแก้ไขปัญหาได้อย่างเป็นรูปธรรม
 

pm2.5

 

รูปภาพ
ฝุ่นควัน