- 28 views

สช.-ภาคีเครือข่าย จับมือเปิดเวที Policy Dialogue ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 ระดมตัวแทนภาครัฐ-วิชาการ-ประชาสังคม ร่วมพูดคุยถึงกลไกรับมือ-แก้ไขปัญหา PM2.5 วงถกพ้องเสียงถึงความสำคัญกระบวนการขับเคลื่อนภาคประชาชน การทำงานลงลึกถึงระดับท้องถิ่น-ชุมชน-แหล่งกำเนิดมลพิษ ตัวช่วยสำคัญในการรับมือสถานการณ์ เดินหน้าไม่ต้องรอ พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ

เมื่อวันที่ 11 ก.พ. 2568 สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ร่วมกับ ไทยพีบีเอส และหน่วยงานภาคีเครือข่าย จัดเวทีสนทนานโยบายสาธารณะ Policy Dialogue ฝ่าทางตัน “วาระฝุ่น” 2568 เพื่อร่วมพูดคุยถึงวิธีการและกลไกจัดการรับมือกับฝุ่นละออง PM2.5 และหมอกควันไฟป่า ทั้งในส่วนของการแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าในฤดูกาลนี้ รวมทั้งการมองไปสู่ระยะกลางและระยะยาว ที่จะทำให้เกิดการจัดการแก้ไขปัญหาร่วมกันได้อย่างมีประสิทธิภาพ

นายเจน ชาญณรงค์ ประธานชมรมผู้รับพระราชทานทุนมูลินิธิอานันทมหิดล เปิดเผยว่า ในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาได้เกิดการรวมตัวกันของภาควิชาการและภาคประชาชน ที่เข้ามาร่วมมือกันพัฒนาแพลตฟอร์มเพื่อติดตามดูการเกิดไฟ หรือ tamfire.net ทำให้ได้พบว่าสิ่งที่เป็นวาฬตัวใหญ่ของการเผาในที่โล่ง ส่วนใหญ่คือสาเหตุจากไฟป่า ซึ่งก็เป็นที่น่าตกใจว่าในประเทศไทยเกิดกองไฟอยู่มากถึง 3,000-4,000 กองต่อปี และบางกองไฟมีขนาดใหญ่ถึงกว่าแสนไร่ หรือคิดเป็นเกือบ 1 ใน 10 ของพื้นที่กรุงเทพมหานคร (กทม.) ที่เกิดจากการจุดได้โดยคนเดียว
ทั้งนี้ หากดูข้อมูลย้อนหลังตั้งแต่ปี 2564-2567 จะพบว่าในปี 2565 ที่มีปรากฎการณ์ลานีญาเข้ม มีฝนตกชุกนั้น แทบจะไม่มีกองไฟ หรือเกิดการเผาที่โล่งน้อยมาก ส่งผลให้มลพิษทางอากาศน้อยลงไปด้วย ส่วนภาพรวมของไฟป่าในปี 2566-2567 ก็เริ่มมีแนวโน้มที่ลดลง ด้วยเพราะวาฬตัวใหญ่ที่สุดนี้เริ่มได้รับความสนใจ ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นเพราะพลังของภาคประชาชนที่มีส่วนสำคัญในการขับเคลื่อน ใช้ข้อมูลไปเป็นฐานของการขับเคลื่อนนโยบาย หรือ Data-Driven Policy โดยเฉพาะการทำงานของภาคประชาสังคมในพื้นที่ภาคเหนือ ที่มีการยื่นข้อเสนอและนายกรัฐมนตรีก็รับไปเป็นนโยบายในทันที

“หลังจากที่รัฐบาลรับเป็นนโยบายไปแล้ว เรื่องของไฟป่าซึ่งเป็นส่วนของกรมอุทยานฯ เดิมทีก่อนปี 2562 มีการรายงานไฟป่าอยู่ที่ราว 1.6 แสนไร่ แต่จริงๆ มีประมาณ 10 ล้านไร่ หรือรายงานน้อยไปเป็นร้อยเท่า ซึ่งหลังจากที่ภาคประชาชนค่อยๆ เปิดเรื่องพวกนี้ออกมา ความจริงใจในการลงตัวเลขจริงก็เกิดขึ้น ตัวเลขที่กรมอุทยานฯ ทำเองเมื่อปี 2566 จึงมีไฟป่าอยู่ที่ 12.8 ล้านไร่ เกิดเป็นเป้าหมายที่มีตัวเลขชัดเจนว่าในปี 2567 จะต้องลดลงให้ได้ครึ่งหนึ่ง ซึ่งก็ลดลงได้เกือบตามเป้า มาในปี 2568 ก็บอกจะลดให้ได้อีก 25% ซึ่งก็ต้องรอดูว่าทำได้หรือไม่ แต่เราได้เห็นถึงความจริงใจและมุ่งมั่น” นายเจน กล่าว
นายเจน กล่าวว่า ในการแก้ไขปัญหาฝุ่นควันนั้น การก่นด่า กล่าวโทษ หรือทะเลาะกันจึงไม่ใช่คำตอบ แต่ทุกฝ่ายควรจะต้องหันหน้าเข้าหากันเพื่อดูว่าใครขาดอะไร ซึ่งส่วนที่ภาคราชการทำในปี 2567 ก็ได้มีการให้ทหารเข้าไปพูดคุยกับชาวบ้านที่เผา พบว่าคนครึ่งหนึ่งก็ยอมฟังและเปลี่ยนวิถีการเผา ดังนั้นการใช้กฎหมายอาจเป็นเรื่องของการบังคับ แต่เมื่อมีการใช้ข้อมูลไปประกอบเพื่อให้เขาได้รู้ว่าสาเหตุฝุ่นควันมีที่มาจากเขา ก็จะเกิดความเข้าใจและร่วมมือ ซึ่งบริบททางสังคมที่แข็งแรงเหล่านี้จะเป็นส่วนที่ช่วยกันแก้ไขปัญหาได้มาก
นายไพสิฐ พาณิชย์กุล ผู้อำนวยการศูนย์วิชาการเพื่อขับเคลื่อนการป้องกันและแก้ไขมลพิษอากาศ (ศวอ.) กล่าวว่า บทเรียนจากในอดีตที่เราแก้ไขปัญหาฝุ่นควันโดยใช้อำนาจนำความรู้ พบว่าการบังคับหรือสั่งการโดยขาดข้อมูลที่ชัดเจนนั้น ไม่ช่วยตอบโจทย์การแก้ไขปัญหา แต่ในช่วง 2-3 ปีหลังที่เราเริ่มเปลี่ยนผ่านโดยการใช้ความรู้นำ ทำให้มีการออกแบบการสั่งการที่มีความชัดเจนมากขึ้น เพราะสิ่งสำคัญคือสาเหตุของการเกิดฝุ่นควันจากแต่ละจุดนั้นมีความแตกต่างกัน จึงจำเป็นต้องคิดค้นวิธีการใหม่ๆ เพื่อจัดการกับแหล่งกำเนิด ไม่ว่าจะเป็นที่เกิดมาจากป่าไม้ การเกษตร การขนส่ง การก่อสร้าง ตลอดจนหมอกควันข้ามพรมแดน เป็นต้น

นายไพสิฐ กล่าวว่า สำหรับการดำเนินงานของ จ.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับผลกระทบสะสมมาอย่างยาวนาน ได้ยึดหลักการสำคัญคือการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคม เข้ามาร่วมกับหน่วยงานภาครัฐ โดยเฉพาะการเข้ามาช่วยแก้ไขปัญหาโครงสร้างกลไกระบบราชการ ที่ถูกออกแบบมาเพื่อใช้แก้ไขปัญหาเฉพาะหน้าต่อเมื่อเกิดมลพิษ โดยมีการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปสู่การใช้ฐานข้อมูลเพื่อออกแบบกลไกในการแก้ไขปัญหาที่ลงลึกเข้าไปถึงในระดับพื้นที่ ในระดับชุมชน ที่เป็นต้นทางของแหล่งกำเนิดฝุ่นควันจริง
“เรื่องฝุ่นควันนับเป็นปัญหาเชิงโครงสร้าง แม้กฎหมายจะเป็นเรื่องที่จำเป็นในระยะยาว ซึ่งทุกคนถามหาว่าเมื่อไร พ.ร.บ.อากาศสะอาดฯ จะออกมา แต่คำถามคือต่อให้มีกฎหมายออกมาแล้ว จะแก้ไขปัญหาได้เลยหรือเปล่า คำตอบคือไม่ใช่ เพราะหลายเรื่องไม่ได้อยู่ที่กฎหมาย แต่อยู่ที่พลังทางสังคมที่จะช่วยกันทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง สิ่งสำคัญจึงเป็นการที่เราเอาหลักการที่อยู่บนกฎหมายไปสู่การปฏิบัติ ภายใต้กฎหมายที่มีอยู่ในปัจจุบัน ไม่ว่าจะเป็นทางสิ่งแวดล้อม โรงงาน ขนส่ง หรือกฎหมายท้องถิ่น ซึ่งมีหลายเรื่องที่ทำได้อยู่ แล้วก็มีตัวอย่างมากมายที่ทำให้เห็นแล้ว” นายไพสิฐ กล่าว
ขณะที่ นายพรพรหม วิกิตเศรษฐ์ ที่ปรึกษาของผู้ว่าราชการ กทม. กล่าวว่า สิ่งสำคัญก่อนดำเนินมาตรการคือต้องทราบชัดเจนก่อนว่าปัญหาฝุ่นควันนั้นมีที่มาจากไหน ดังนั้นสิ่งที่ผู้ว่าราชการ กทม. ดำเนินการตั้งแต่ปีแรกคือโครงการนักสืบฝุ่น โดยใช้ข้อมูลทางวิชาการ นำค่าฝุ่นไปให้ห้องแล็บของมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ตรวจวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีว่ามีต้นทางมาจากไหน จนพบว่าฝุ่นในวันที่ค่าฝุ่นน้อย จะมีที่มาหลักจากรถยนต์ ส่วนฝุ่นในวันที่ค่าฝุ่นเยอะ จะมีที่มาจากการเผา จึงช่วยให้ทำความเข้าใจได้แม่นยำมากขึ้น

นายพรพรหม กล่าวว่า ในเรื่องที่เป็นปัจจัยจากภายนอก เช่น การเผา หรือฝุ่นควันข้ามแดน นั้นอาจอยู่นอกเหนืออำนาจหน้าที่ของ กทม. หากแต่สิ่งที่ทาง กทม. ได้ร้องขอจากรัฐบาลคืออำนาจหน้าที่ภายในพื้นที่ซึ่งยังมีข้อจำกัดอยู่ เช่น การตรวจจับรถควันดำ การตรวจโรงงานอุตสาหกรรม รวมถึงแหล่งกำเนิดมลพิษที่สำคัญภายในพื้นที่ ทว่า กทม. ยังไม่มีอำนาจที่เข้าไปจัดการได้โดยตรง ควบคู่ไปกับการทำให้ กทม. เป็นเขตควบคุมมลพิษ ซึ่งจะเป็นอีกส่วนคู่ขนานที่สามารถเพิ่มอำนาจให้กับทาง กทม. ในการจัดการได้
“เราพยายามค้นกฎหมายทุกอย่างว่าอันไหนทำได้ และพยายามใช้ข้อมูลเข้ามาพัฒนาการทำงานเพิ่มขึ้นตลอด แต่ปัญหาฝุ่นควันก็ไร้พรมแดนและมีที่มาหลากหลาย จำเป็นต้องทำงานร่วมกับทุกหน่วยงาน หรือแม้แต่ กทม. เองก็ยังต้องทำงานร่วมกันระหว่างหลายสำนัก และทุกเขต แต่สุดท้ายแล้วเชื่อว่าการมีส่วนร่วมของภาคประชาสังคมนั้นสำคัญที่สุด อย่างสภาลมหายใจที่มีการทำงานในด้านข้อมูล หรือแม้แต่ข้อมูลจากประชาชนทั่วไปผ่านแพลตฟอร์มทราฟฟี่ฟองดูว์ เมื่อเห็นว่ามีสิ่งที่ไม่ถูกต้องก็ดำเนินการแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบ เหล่านี้คือกลไกที่จะช่วยให้เข้าใจปัญหา และแก้ไขได้ถูกจุด บนการมีส่วนร่วม” นายพรพรหม กล่าว

ด้าน นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ กล่าวว่า ปัญหาฝุ่นควันนับเป็นวิกฤตสำคัญด้านสุขภาพที่ประชาชนต้องเผชิญในช่วงระยะที่ผ่านมา และเป็นเรื่องที่ใกล้ตัวกับผู้คนอย่างมาก เพราะเราหายใจเข้าไปโดยหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงนับเป็นโจทย์สำคัญที่ทุกฝ่ายจะต้องเข้ามาช่วยกันมองถึงหนทางในการรับมือจัดการกับเรื่องนี้ ทั้งในระยะใกล้และระยะไกล ซึ่งเชื่อว่าด้วยการมีส่วนร่วมของทุกภาคส่วน ภายใต้การใช้องค์ความรู้ เทคโนโลยี และวิชาการที่ก้าวหน้า รวมไปถึงข้อเสนอต่างๆ ที่ได้จากเวที Policy Dialogue จะช่วยให้เราได้ช่วยกันหาทางออก และมีกระบวนการทำงานที่ต่อเนื่องร่วมกันต่อไป