๑๘ ปี สำหรับมนุษย์ คือช่วงเวลาของการเป็นหนุ่มสาว ผ่านวันวานของความเป็นเด็ก เรียนรู้ความเจ็บปวดจากการตั้งไข่ล้ม เพื่อที่ในวันหนึ่งจะลุกขึ้นยืนและก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างมั่นคง
เป็น ๑๘ ปี ที่สั่งสมทักษะชีวิตขั้นพื้นฐาน เกิดการเรียนรู้ เกิดการปรับตัว มีความแข็งแรงทางกายภาพ มีพลังความสดใหม่ ชีวิตเต็มไปด้วยแรงผลักดัน ถูกห้อมล้อมด้วยความฝัน ก่อนจะค่อยๆ เติบโตขึ้นจากประสบการณ์ความเป็นจริง
สำหรับองค์กรที่ทำหน้าที่สานพลังทางสังคม อย่างสำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) ซึ่งในปี ๒๕๖๘ นี้ กำลังย่างเข้าสู่ ๑๘ ปีเต็ม แน่นอนว่าผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในห้วงยามที่ต้องวางหมุดตอกเสาเข็มการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านสาธารณสุข ซึ่งเต็มไปด้วยคำถาม ความท้าทาย ความไม่เชื่อมั่น ไปจนถึงขั้นเผชิญหน้ากับความสุ่มเสี่ยง ทั้งมิติงบประมาณ และมิติความมั่นคงขององค์กร
ท่ามกลางอุปสรรคต่างๆ ที่ต้องฝ่าฟันและข้ามผ่าน สช. ได้เก็บเกี่ยวบทเรียน ประสบการณ์ สั่งสมความเข้มแข็งในเชิงปริมาณมาอย่างต่อเนื่อง ประกอบกับการได้รับพลังโอบอุ้มจากภาคีเครือข่ายทั่วประเทศ จนก่อกำเนิดกลายเป็นบาตรฐานและสร้างความเปลี่ยนแปลงในเชิงคุณภาพขึ้น
--- หล่อเสาเข็ม – ตอกเสาเข็ม ---
หากเปรียบแนวคิดการเปลี่ยนแปลงกระบวนทัศน์ด้านสาธารณสุขเป็น “เสาเข็ม” เพื่อพยุงและรับน้ำหนักระบบสุขภาพ การมี พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ ก็คือการตอกเสาเข็มลงแน่นในผืนแผ่นดินไทย ซึ่งกว่าจะเดินทางมาถึงวันที่เสาเข็มถูกตอก ย่อมเต็มไปด้วยรายละเอียดและความเป็นมาในขั้นตอนการ “หล่อเสาเข็ม”
เมื่อปี ๒๕๒๙ องค์การอนามัยโลก (WHO) ได้ผลักดันกฎบัตรออตตาว่า (Ottawa Charter) เพื่อเสนอกรอบคิดเรื่อง “การส่งเสริมสุขภาพ” (Health Promotion) แนวใหม่ ซึ่งในเวลาต่อมา WHO ได้นำเสนอกรอบคิดเรื่อง “ปัจจัยทางสังคมที่กำหนดสุขภาพ” (Social Determinants of Health) เพื่อเปิดมุมมองใหม่ในเรื่องสุขภาพที่กว้างกว่าเดิม
ในปี ๒๕๓๕ ประเทศไทย มีการก่อตั้งหน่วยงานที่ชื่อว่า สถาบันวิจัยระบบสาธารณสุข (สวรส.) ขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่วิจัยระบบสาธารณสุข และเตรียมปรับยุทธศาสตร์ มาตรการ และกลไกรับมือปัญหาสุขภาพรูปแบบใหม่ ในระยะต่อมา สวรส. ได้กลายเป็นแม่งานในการสานพลังหลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อจัดทำรายงานระบบสุขภาพประชาชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ หรือ สมุดปกขาว ซึ่งเป็นข้อเสนอการปฏิรูประบบสุขภาพตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ปี พ.ศ. ๒๕๔๐ โดยคณะกรรมาธิการการสาธารณสุข วุฒิสภา ชุดที่มี ศ.นพ.ประสพ รัตนากร เป็นประธาน
รายงานฉบับนี้ ได้ระบุสาระสำคัญที่กลายเป็นแนวทางการปฏิรูปและการขับเคลื่อนระบบสาธารณสุขมาจนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของนิยามสุขภาพที่กว้างกว่าระบบการแพทย์และสาธารณสุขแบบเดิม โดยครอบคลุม ๔ มิติ คือ กาย ใจ สังคม จิตวิญญาณ และการเสนอทิศทางการจัดการระบบสุขภาพ “สร้างนำซ่อม”
รายงานฉบับดังกล่าวมีนัยสำคัญที่ทำให้ทุกฝ่ายเห็นพ้องต้องกันว่า ควรจะมีการปฏิรูประบบสุขภาพครั้งสำคัญในประเทศไทย จนคณะรัฐมนตรี (ครม.) ในสมัยรัฐบาล นายชวน หลีกภัย ได้ออกระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๔๓ และนำมาสู่การจัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูประบบสุขภาพแห่งชาติ โดยมีสำนักงานปฏิรูประบบสุขภาพ (สปรส.) ทำหน้าที่หน่วยเลขานุการ เพื่อจัดทำ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ และขับเคลื่อนสังคมตามยุทธศาตร์ “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา”
จากความตั้งใจที่ใช้ระยะเวลาเพียงแค่ ๓ ปี แต่กลับใช้เวลาถึง ๗ ปี กว่าที่กฎหมายแม่บทด้านสุขภาพของสังคมไทยจะเสร็จสิ้นในปี ๒๕๕๐ ก่อนจะเกิดหน่วยงาน สช. เพื่อขับเคลื่อนภารกิจงานตาม พ.ร.บ. ในระยะเวลาต่อมา
ความสำเร็จจากการขับเคลื่อนภารกิจตามเจตนารมณ์ของ พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ ภายใต้การนำของเลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (คสช.) ถูกบันทึกไว้จากบทสัมภาษณ์พิเศษ ๓ เลขาธิการ คสช. ในเนื้อหาในหน้าถัดๆ ไป
อันได้แก่ ๑. เลขาธิการฯ ผู้วางรากฐาน นพ.อำพล จินดาวัฒนะ หนึ่งในผู้ก่อตั้ง สช. และผลักดัน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ ซึ่งดำรงตำแหน่ง วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๑ – ๓๐ มิถุนายน พ.ศ. ๒๕๕๙ ๒. เลขาธิการฯ ผู้ฝ่าวงล้อม นพ.พลเดช ปิ่นประทีป ซึ่งดำรงตำแหน่ง วันที่ ๑ กรกฎาคม พ.ศ. ๒๕๕๙ – ๘ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ และ ๓. เลขาธิการฯ ในวันที่ประเทศเผชิญวิกฤตการณ์และกระบวนการสานพลังคือคำตอบ นพ.ประทีป ธนกิจเจริญ ซึ่งดำรงตำแหน่ง วันที่ ๓ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๖๒ – ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๖๖
สำหรับก้าวต่อไปของ สช. ในขวบปีที่ ๑๘ นพ.สุเทพ เพชรมาก เลขาธิการ คสช. คนปัจจุบัน ซึ่งเข้ารับตำแหน่งในวันที่ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ คือผู้ที่จะปะติดปะต่อความสำเร็จในอดีตเข้ากับภาพในอนาคตได้ดีที่สุด

- 12 views