ความท้าทายขนาบรอบด้าน | สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ข้ามไปยังเนื้อหาหลัก

--- ความท้าทายขนาบอบด้าน ---

นพ.สุเทพ วิเคราะห์สถานการณ์และความท้าทายในปัจจุบัน ทั้งมิติความเปลี่ยนแปลงของโลกที่รวดเร็วรุนแรง วิกฤติการณ์ต่างๆ หลากหลายซับซ้อน (Polycrisis) ขนาดของการเปลี่ยนแปลงที่เดิมใช้เวลาเป็นร้อยปีปัจจุบันอาจใช้เวลาไม่ถึงสิบปี ทั้งเรื่องโลกรวน-โลกร้อน ถึงขั้นหายนะทางภูมิอากาศ (Climate Catastrophe) เกิดภัยพิบัติบ่อยครั้งและรุนแรงขึ้น จึงจำเป็นต้องกลับมาสนใจสิ่งแวดล้อมและการพัฒนาที่ยั่งยืนกันมากขึ้น การเปลี่ยนแปลงโครงสร้างประชากร (Changing Demographics) ความก้าวเทคโนโลยีดิจิทัล (AI & Cyber Technology) ความแตกแยกขัดแย้ง (Conflicts) ในประเทศและในภูมิภาคต่างๆ

ตลอดจนสถานการณ์โรคเปลี่ยนแปลงไป จากโรคติดต่อเป็นโรคไม่ติดต่อ (NCDs : non-communicable diseases) จากโรคที่เกิดจากเชื้อโรคเป็นโรคที่เกิดจากพฤติกรรมและสิ่งแวดล้อม เป็นโรคที่เกิดจากมนุษย์ทำตัวเอง มนุษย์ทำกันเอง ตลอดสี่ปีที่ผ่านมา ตั้งแต่ปี ๒๕๖๔ พบว่าคนเกิดน้อยกว่าคนตาย ประชากรไทยลดลงต่อเนื่อง

โฟกัสเข้ามาที่ความท้าทายด้านสุขภาพของประเทศไทย คำถามคือเราจะเตรียมการและรับมืออย่างไรกับสังคมสูงวัย การควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ การกระจายอำนาจด้านสุขภาพ/ระบบสุขภาพท้องถิ่น การรับมือภัยพิบัติต่างๆ ค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพที่เพิ่มรวดเร็วกว่ารายได้ประชากร ความก้าวหน้าของเทคโนโลยีการแพทย์ (high tech, high cost) ความเหลื่อมล้ำและความเป็นธรรมด้านสุขภาพ

อย่างไรก็ตาม ในทุกวิกฤติย่อมมีโอกาส พบว่าทุกคนหันมาให้ความสำคัญใส่ใจเรื่องสุขภาพมากขึ้น เพิ่มอายุการมีสุขภาพดี (Health span) ให้เกิดดี เติบโตดี แก่ช้า เจ็บสั้น ตายดี โดยแท้จริงแล้วหลักการสุขภาพง่ายๆ สองประการ คืออะไรป้องกันได้ต้องป้องกัน และเมื่อเกิดโรคแล้วก็รักษาดูแลให้ดีที่สุด เพียงแต่ความคิดความต้องการของคนส่วนใหญ่ยังมุ่งไปที่การรักษา ทุ่มเททรัพยากรจำนวนมากเมื่อเวลาเจ็บป่วย แต่การส่งเสริมสุขภาพป้องกันโรคสร้างเสริมสุขภาวะ (well being) ยังให้ความสำคัญน้อยกว่ามาก ไม่ได้ปฏิบัติ ไม่ได้จัดการปัจจัยเสี่ยงต่างๆ ทั้งที่มีการศึกษาวิจัยยืนยันว่าคนเราจะมีสุขภาพดีมากน้อยแค่ไหน ขึ้นกับระบบบริการทางการแพทย์ ๙%  พันธุกรรม ๑๖%  พฤติกรรม ๕๑% สิ่งแวดล้อม ๒๔%

“การให้ทุกคนมีพฤติกรรมที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นวิถีชีวิตและอยู่ในสิ่งแวดล้อมที่ดี จึงเป็นเรื่องสำคัญที่สุด เชื่อว่าทุกท่านเห็นด้วยกับ “สร้าง นำ ซ่อม” ถึงเวลาแล้วที่ลงมือทำร่วมกันอย่างจริงจัง เพราะการลงทุนที่ดีที่สุดที่คุ้มค่ามากที่สุดคือ การทำให้สุขภาพดี” นพ.สุเทพ ระบุ

 

--- ปี ๖๘ จับมือ อปท. - ใช้พื้นที่เป็นฐาน ---

สำหรับ สช. แล้ว ตลอดเวลา ๑๘ ปีที่ผ่านมา สช. และภาคีเครือข่ายร่วมกันทำงานแบบมีส่วนร่วม สานพลังสรรค์สร้างนโยบายสาธารณะ 4P-W (Participatory Public Policy Process based on Wisdom) บรรลุผลสำเร็จอย่างต่อเนื่อง ส่วนตัวแรกมารับตำแหน่งเลขาธิการ คสช. เมื่อ ๑๙ ตุลาคม ๒๕๖๖ ตั้งใจสานต่อ ต่อยอดจากของเดิมที่ดีอยู่แล้ว พร้อมกับพัฒนาบางงานให้ทันกับบริบทที่เปลี่ยนไป และสร้างสิ่งใหม่เพิ่มภาคีเครือข่ายใหม่

          สานพลังทั้งภายใน สช. และสานพลังภายนอก สช. บูรณาการการทำงานร่วมกันกับภาคียุทธศาสตร์(Strategic partner) ต่างๆ เพิ่มขึ้น เช่น สธ. พม. มท. ศธ. พอช. สสส. สวรส. สปสช. สรพ. สพฉ. สศช. บพท. นิด้า ฯลฯ เพื่อจะได้เกิดผลลัพธ์ (Strategic Impact) มากยิ่งขึ้น

          นพ.สุเทพ มองว่า จุดแข็งของ สช. คือมีเพื่อนดีเพื่อนเยอะ มีภาคีเครือข่ายร่วมทำงานที่เข้มแข็งหลากหลาย และมีกลไกสนับสนุนได้อย่างดีทั้ง คสช. คบ. กขป. สมัชชาจังหวัด ส่วนทิศทางในอนาคตนั้น ควรต้องยกระดับความรู้และการมีส่วนร่วมของประชาชน ขยายฐานกลุ่มต่างๆ ให้มามีส่วนร่วมเพิ่มมากยิ่งขึ้น เพิ่มเครือข่ายเยาวชนคนรุ่นใหม่ สร้างคนรุ่นต่อๆ ไป เพิ่มการมีส่วนร่วมของภาครัฐ องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น (อปท.) และภาควิชาการ รวมทั้งพัฒนาระบบข้อมูลสนับสนุนพื้นที่ นำเทคโนโลยีมาใช้ พร้อมทั้งการสื่อสารเคลื่อนไหวสังคม เพื่อให้สามารถพัฒนาและขับเคลื่อนมตินโยบายสาธารณะต่างๆ ให้สำเร็จเป็นรูปธรรมในพื้นที่ได้มากขึ้น 

          ฉะนั้น ในปี ๒๕๖๘ ซึ่งก้าวเข้าสู่ปีที่ ๑๘ ของ สช. จะมี “จุดเน้น” คือการมุ่งไปที่การบูรณาการการทำงานร่วมกันในพื้นที่ “ใช้พื้นที่เป็นฐาน บูรณาการทุกภาคส่วน สร้างกระบวนการเรียนรู้ สู่วิถีชุมชน” องค์กรภาคียุทธศาสตร์ร่วมกันสนับสนุนทรัพยากร พัฒนาระบบข้อมูลสนับสนุนทั้งข้อมูลทุนทางสังคมและข้อมูลสถานะสุขภาพ รวมเครือข่ายในพื้นที่จัดทำแผน และดำเนินการสร้างสังคมสุขภาวะร่วมกัน

ขณะเดียวกัน ทิศทางระบบสุขภาพของประเทศในการเตรียมความพร้อมรับมือสังคมสูงวัย การควบคุมป้องกันโรคไม่ติดต่อ การพัฒนาระบบบริการปฐมภูมิและการกระจายอำนาจให้ อปท.

นพ.สุเทพ บอกอีกว่า หมวด ๑ สิทธิและหน้าที่ด้านสุขภาพ ตาม พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ.๒๕๕๐ ควรได้ใช้ในพื้นที่ใน อปท. ต่างๆ มากขึ้น ทั้งมาตรา ๕ “บุคคลมีสิทธิในการดำรงชีวิตในสิ่งแวดล้อมและสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อสุขภาพ” มาตรา ๖ “สุขภาพของหญิง เด็ก  คนพิการ คนสูงอายุ คนด้อยโอกาสในสังคม และกลุ่มคนต่างๆ ที่มีความจำเพาะในเรื่องสุขภาพต้องได้รับการสร้างเสริมและคุ้มครองอย่างสอดคล้องและเหมาะสม” เรื่องการประเมินผลกระทบต่อสุขภาพตาม มาตรา ๑๐ และมาตรา ๑๑ การทำพินัยกรรมชีวิต(Living will) ตามมาตรา ๑๒ แปลงสิทธิตามกฎหมายเหล่านี้ให้เป็นบริการเป็นงานที่ อปท.ทำเพื่อประชาชนในพื้นที่ได้อย่างมีคุณภาพและทั่วถึง

          “ปี ๒๕๖๘ จึงเป็นปีแห่งการสานพลังสนับสนุนและบูรณาการงานในพื้นที่ ร่วมทำงานใกล้ชิดทุกองค์กรภาคียุทธศาสตร์มีเป้าหมายร่วม มียุทธศาสตร์ร่วม สู่ฝันอันเดียวกัน ที่อยากทำอยากเห็นชุมชนเข้มแข็งชุมชนสุขภาวะร่วมกัน” เลขาธิการ คสช. ระบุ

ทั้งนี้ เพื่อขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ข้างต้น สช. มีการปรับปรุงองค์กร มีการปรับโครงสร้างโดยมุ่งไปที่การใช้พื้นที่เป็นตัวตั้ง ไม่เอาเครื่องมือของ สช. เป็นตัวตั้ง รวมถึงพัฒนาคน สช. นอกจากจะเชี่ยวชาญเฉพาะเรื่องเฉพาะเครื่องมืออย่างใดอย่างหนึ่งแล้ว ยังให้รู้ลึกรู้กว้างมากขึ้น ใช้ทุกเครื่องมือที่ให้ไว้ใน พ.ร.บ.สุขภาพแห่งชาติ พ.ศ. ๒๕๕๐ บูรณาการทุกเครื่องมือไปทำงานในพื้นที่ และปรับองค์กรการเป็นสู่องค์กรดิจิทัล นำเทคโนโลยีมาใช้ในการทำงาน โดยในปี ๒๕๖๘ จะเน้น ๓C คือ Community Connection และ Cyborg

 

1