เชื่อว่าคนส่วนใหญ่น่าจะขี้เกียจไปหาหมอ เบื่อหน่ายการรอคิว แล้วยังต้องคอยลุ้นตัวเลขค่ารักษาพยาบาลอีก หลายครั้งที่เจ็บป่วยจึงสวมวิญญาณผู้เชี่ยวชาญ เปิดอินเทอร์เน็ตวินิจฉัยอาการ ก่อนจะตัดสินใจซื้อยากินเอง
แต่เราอยากเตือนคุณว่า การซื้อยากินเองเต็มไปด้วยความเสี่ยง เพราะการรักษาแต่ละโรคแต่ละอาการ สัมพันธ์กับความเฉพาะโรค เฉพาะปัจเจกของตัวคุณ ทั้งน้ำหนัก ส่วนสูง โรคประจำตัว ประวัติการแพ้ยา ฯลฯ
ฉะนั้น การเดิมดุ่มๆ เข้าไปซื้อยา อาจเป็นผลร้ายมากกว่าผลดี !!
มากไปกว่านั้น คุณจะรู้ได้อย่างไรว่ายาที่คุณไปซื้อเอง ถูกต้อง เหมาะสม มีหลายครั้งหลายคราที่คนทั่วไปตกเป็นเหยื่อของ “โฆษณา” และความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการใช้ยาที่ฝังหัวมาอย่างยาวนาน
ตัวอย่างหนึ่งคือ เมื่อป่วยเป็นหวัดที่เกิดจากไวรัส คุณอาจวิ่งหาซื้อยาฆ่าเชื้อ (ยาปฏิชีวนะ) โดยไม่เคยรู้มาก่อนว่ายาปฏิชีวนะเหล่านั้นใช้ฆ่าแบคทีเรียแต่ฆ่าไวรัสไม่ได้ ซึ่งหากคุณกินยาปฏิชีวนะบ่อยเข้าๆ คุณมีโอกาสจะแพ้ยา-ดื้อยา และเกิดโรคแทรกซ้อนได้
นอกจากนี้ เราอยากชวนคุณมองไปรอบบ้านแล้วเริ่มสำรวจว่า มียาเหลือใช้อยู่หรือไม่ มียาบางรายการที่คุณเองก็จำไม่ได้ว่าคือยาอะไรหรือเปล่า หรือถึงคุณจะทราบแต่คุณก็อาจลืมไปแล้วว่ายานี้ซื้อมาตอนไหน-หมดอายุหรือยัง
นี่คืออีกหนึ่งปัญหาที่จะนำอันตรายมาสู่คุณ เพราะนอกจากการกินยาไม่ครบ-ไม่ถูกขนาดแล้ว คุณอาจพลาดท่าให้กับยาธรรมดาๆ ที่ดูเหมือนจะไม่มีอันตรายอะไรก็ได้
น้อยคนจะรู้ว่ายาแก้ปวดที่เราคุ้นชินเพียง 1-2 เม็ด มีฤทธิ์ร้ายกาจถึงขั้นทำให้ผู้ป่วยที่ไตไม่ดีเกิดภาวะไตวายรุนแรง และอาจถึงขั้นเสียชีวิตได้
เหล่านี้คือตัวอย่างส่วนหนึ่งจากพฤติกรรม “การใช้ยาไม่สมเหตุผล” ที่มีจุดเริ่มต้นมาจากการซื้อยากินเอง หรือความรู้ความเข้าใจที่ไม่ถูกต้องต่อการใช้ยาอย่างปลอดภัย
อย่างไรก็ดี ปัญหาการใช้ยาไม่สมเหตุผลไม่ได้จำกัดอยู่เฉพาะในฟากฝั่งของผู้ป่วย-ผู้บริโภคเท่านั้น หากแต่ประเด็นเดียวกันนี้ยังเกิดขึ้นและสร้างปัญหาในอีกหลายภาคส่วน โดยเฉพาะคนใน “ชุมชน”
เริ่มต้นที่กลุ่มผู้สูงอายุ-ผู้ป่วยโรคไม่ติดต่อ หรือ NCDs ที่มักพบเหตุการณ์ไม่พึงประสงค์จากการใช้ยา เช่น ได้รับยาซ้ำซ้อน การครอบครองยาเกินความจำเป็น และไม่ให้ความร่วมมือในการใช้ยา ซึ่งจะส่งผลต่อความปลอดภัย ประสิทธิภาพในการรักษา และความสูญเสียทางการคลัง
อีกหนึ่งส่วนคือ “โรงเรียน” ซึ่งทุกวันนี้ยังมีช่องว่างทางการจัดการอยู่ คุณครูในห้องพยาบาลอาจขาดความรู้ที่ถูกต้องในการใช้ยาเพื่อรักษาหรือปฐมพยาบาลเบื้องต้น ตลอดจนความพร้อมของอุปกรณ์-สถานที่ ซึ่งสถานการณ์เหล่านี้เกิดขึ้นทั้งในชุมชนเมือง-ชนบท
ประเทศไทยมีมูลค่าการบริโภคยาคิดเป็นร้อยละ 41 ของค่าใช้จ่ายด้านสุขภาพ และจากผลการศึกษา พบการบริโภคยาอย่างไม่เหมาะสมและเกินความจำเป็นในทุกระดับ ทั้งการใช้ยาในสถานพยาบาลไปจนถึงการใช้ยาในชุมชน โดยข้อมูลปี 2555 พบผู้ป่วย 19.2 ล้านคน ครอบครองยาเกินความจำเป็น และรัฐต้องสูญเสียงบประมาณในส่วนนี้ประมาณ 2,370 ล้านบาท
นอกจากนี้ ปัญหา “การใช้ยาไม่สมเหตุผล” ยังนับเป็นปัญหาในระดับโลก โดยองค์การอนามัยโลก (WHO) ระบุว่า มากกว่าร้อยละ 50 ของการใช้ยาในประเทศกำลังพัฒนาเป็นการใช้ยาที่ไม่เหมาะสมและสูญเปล่า โดยการใช้ยาไม่สมเหตุผลที่พบบ่อย ได้แก่ การใช้ยาหลายขนานร่วมกัน การใช้ยาปฏิชีวนะที่ไม่เหมาะสม การใช้ยาฉีดเกินความจำเป็น รวมไปถึงการสั่งใช้ยาไม่เป็นไปตามแนวทางการรักษา เป็นต้น
สถานการณ์ทั้งหมดนี้จำเป็นต้องได้รับการแก้ไข ซึ่งคณะกรรมการจัดสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ (คจ.สช.) ครั้งที่ 12 ประจำปี 2562 ได้ตระหนักถึงความสำคัญและได้ประกาศระเบียบวาระ “การจัดการเชิงระบบสู่ประเทศใช้ยาอย่างสมเหตุผล โดยชุมชนเป็นศูนย์กลาง” เป็นหนึ่งในระเบียบวาระสมัชชาสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 12 ซึ่งจะจัดขึ้นระหว่างวันที่ 18-20 ธ.ค. นี้ เพื่อร่วมกันจัดทำนโยบายสาธารณะเพื่อสุขภาพแบบมีส่วนร่วมในการใช้แก้ปัญหาให้ได้ผลจริง
กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) 02-832-9143
- 871 views